พ่อแม่หลายท่านมักจะกังวลว่าเมื่อลูกเราโตขึ้นจนกระทั่งเริ่มเข้าสู่วัยเรียน ต้องมีการปรับตัวเข้าสู่สังคม การใช้ชีวิตของลูกเราจะเป็นอย่างไร🤔 บางครั้งลูกๆ อาจพบความเครียดจนกระทั่งเกิดความเครียดสะสม มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เริ่มเก็บตัว ไม่ค่อยพูด ก็จะทำให้พ่อแม่กังวลใจไม่น้อย วันนี้ Minor Smart Kids👧🏻 จึงอยากมาพูดถึงเรื่องภาวะโรคซึมเศร้า เพื่อให้พ่อแม่สามารถสังเกตลูกตัวเองได้ เป็นการรับมือให้ทันกับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของลูกกันค่ะ👀💕
งานวิจัยในประเทศไทยพบเด็กวัยเรียนป่วยเป็นโรคซึมเศร้าประมาณร้อยละ 7.1 ในขณะที่วัยรุ่นป่วยด้วยโรคซึมเศร้าร้อยละ 13.3 พบในวัยรุ่นหญิงมากกว่าวัยรุ่นชาย 2 เท่า
✅โดยเมื่อลูกเป็นโรคซึมเศร้า…จะมีอาการดังต่อไปนี้
- มีอารมณ์ที่ซึมเศร้าลง เบื่อหน่ายมากขึ้น หรือบางรายอาจมีอารมณ์หงุดหงิด
- ไม่มีความสุขความเพลิดเพลินเมื่อทำกิจกรรมที่ชอบ
- ไม่อยากอาหาร น้ำหนักลดลง หรือในขณะที่บางรายก็ทานอาหารมากเกินไป
- นอนไม่หลับ หลับ ๆ ตื่น ๆ หรือตื่นเร็วกว่าปกติ ในขณะที่บางรายนอนทั้งวัน
- เฉื่อยชา
- ไม่มีสมาธิในการเรียน ความจำแย่ลง
- รู้สึกผิด โทษตัวเอง รู้สึกไร้ค่า
✅สาเหตุของโรคซึมเศร้าในเด็ก มักประกอบไปด้วย
ทางชีวภาพ เกิดจาก
- พันธุกรรม ถ้ามีประวัติโรคซึมเศร้าในครอบครัว ก็จะทำให้เด็กมีโอกาสป่วยด้วยโรคซึมเศร้ามากกว่าเด็กทั่วไป
- ยาบางชนิดสามารถทำให้เป็นโรคซึมเศร้าได้ เช่น ยาเคมีบำบัด ยาลดความดัน สารเสพติด เป็นต้น
- โรคบางชนิด เช่นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง เป็นต้น
ทางสิ่งแวดล้อมอื่นๆ
ประกอบไปด้วย ความเครียด ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาในครอบครัว การทะเลาะกับแฟน ผลการเรียนตกต่ำ การคบเพื่อน ถูกเพื่อนกลั่นแกล้งเสมอ ๆ หรือรู้สึกไม่ชอบ กลัว กังวล กับบุคคลรอบข้าง หรือ เด็กขาดความมั่นใจในตนเอง กลัวการแข่งขัน
พ่อแม่ควรสังเกตอาการลูกด้วยตนเอง..ก่อนสายเกินแก้
- เด็กเริ่มเก็บตัว ไม่ค่อยพูดเหมือนก่อน
- เศร้า ร้องไห้ หงุดหงิดง่าย ทำอะไรก็ผิดหูผิดตา หงุดหงิดไปซะหมด
- ไม่ชอบทำกิจกรรมที่เคยชอบทำมาก่อน เช่นชอบวาดรูป แต่ตอนนี้ไม่ชอบแล้ว
- ไม่อยากทำอะไรเลย นอนทั้งวัน แอบร้องไห้คนเดียว
✅วิธีรับมือ…เมื่อลูกเป็นโรคซึมเศร้า
- พ่อแม่ควรหมั่นพูดคุยกับลูก สังเกตพฤติกรรม สอบถามอาการสารทุกข์สุขดิบ ถามถึงความสุขของลูก เพื่อช่วยแก้ปัญหาในเบื้องต้น ก่อนที่ลูกจะตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า
- การทำกิจกรรมร่วมกับลูกไปทำกิจกรรมใหม่ ๆ บรรยากาศใหม่ๆ เพื่อให้เด็กมีความสุขเพิ่มขึ้น แต่ต้องเป็นกิจกรรมที่ไม่ทำให้แย่ลงไปกว่าเดิม
- พูดคุยกับลูกโดยเหตุและผล ไม่ใช้อารมณ์ ให้ความเอาใจใส่และความอบอุ่นแก่ลูกอยู่เสมอ เปิดโอกาสให้ลูกได้เล่าปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่เร่งรัด ให้บรรยากาศที่ผ่อนคลาย ไม่ตึงเครียด
- คอยสำรวจพฤติกรรมหรือขอความช่วยเหลือจากคุณครูให้ช่วยสอดส่องพฤติกรรมของลูก และเปิดเผยพูดคุยกับคุณครูเพื่อแลกเปลี่ยนปัญหาของลูกที่พบที่บ้านและโรงเรียน เพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด
- หากอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาจิตแพทย์โดยด่วนเพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป
อ้างอิง: https://www.phyathai.com/article_detail.php?id=2123
——————————————————————
Learn More at
Website : www.minorsmartkids.com
Instagram : instagram.com/minorsmartkids/
Line : @minorsmartkids (อย่าลืม @ ด้วยนะคะ) https://bit.ly/2FpZ44s
YouTube: https://www.youtube.com/user/MinorEducationGroup/